วันเสาร์ที่ 9 มกราคม พ.ศ. 2553

โปรแกรมgoogleสามารถหาความหมายได้หลายอย่างในเวลาเดียวกัน
โปรแกรมgoogleใช้ในการค้นหาคำที่เจาะจงได้
โปรแกมgoogle ใช้ในการคำนวณได้

เปิดโฉม 'อีเกรนส์' นวัตกรรมคอมพิวเตอร์จิ๋วแห่งอนาคต








เปิดโฉม 'อีเกรนส์' นวัตกรรมคอมพิวเตอร์จิ๋วแห่งอนาคต

ทิศทางการพัฒนาเทคโนโลยีไอที นอกจากมุ่งปรับเพิ่มสรรถนะการใช้งานแล้ว สิ่งที่ปรับควบคู่กันไปได้แก่ ขนาดผลิตภัณฑ์ที่ถูกลดให้เล็กลงเท่าที่จะเล็กได้ ดังเช่น คอมพิวเตอร์ที่ในอนาคตมีความเป็นไปได้ที่จะถูกปรับย่อเล็กลงเหลือเพียงเม็ดทราย ทั้งยังอาจไม่ต้องรอการสั่งการจากมนุษย์อีกต่อไป ด้วยความสามารถของหน่วยประมวลผลขนาดจิ๋วที่สามารถเชื่อมต่อถึงกันแบบไร้สาย เกิดเป็นเครือข่ายแบบล่องหนของอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่ส่งข้อมูลไปมาระหว่างกัน


แนวคิดดังกล่าวไม่ได้เป็นเพียงเรื่องเพ้อฝันในนิยายวิทยาศาสตร์อีกต่อไป เพราะปัจจุบันมีโครงการที่อยู่ระหว่างการพัฒนาของสถาบันวิจัยด้านคอมพิวเตอร์ที่ชื่อเฟราน์โฮเฟอร์ในเยอรมนี ภายใต้การดำเนินงานของศาสตราจารย์ แฮร์เบิร์ต ไรช์ ร่วมกับทีมวิศวกรคอมพิวเตอร์มุ่งพัฒนาคอมพิวเตอร์ให้มีขนาดเล็กเพียงเม็ดทราย หรือที่เรียกว่า อีเกรนส์ (eGrains) จากปัจจุบันที่มีการพัฒนาให้เล็กเพียง 1 ลูกบาศก์เซนติเมตร หรือเท่ากับน้ำตาลก้อนและมีเป้าหมายภายใน 2-3 ปีข้างหน้าที่จะพัฒนาไมโครคอมพิวเตอร์ให้เล็กเหลือเพียงหัวไม้ขีดไฟให้ได้


โดยนายเยอเก้น โวล์ฟ วิศวกรประจำสถาบันเปิดเผยถึงเป้าหมายในการพัฒนาคอมพิวเตอร์ขนาดจิ๋วว่า ต้องการสร้างเครือข่ายตัวตรวจรับสัญญาณ หรือเซ็นเซอร์ที่ประกอบขึ้นจากระบบคอมพิวเตอร์กลุ่มย่อยขนาดเล็ก โดยให้แต่ละเครือข่ายประกอบด้วยเซ็นเซอร์ที่มีหน่วยประมวลผลและพลังงานรวมถึงความสามารถในการสื่อสารของตนเอง


สิ่งที่ต่างจากตัวรับสัญญาณไร้สายในปัจจุบัน คือ ความอัจฉริยะที่ไม่ต้องรอคำสั่งจากเครื่องอ่านก่อนที่จะตอบสนองการทำงานออกไป แต่สามารถบริหารจัดการระบบงานต่างๆ บนเครือข่ายและส่งข้อมูลการทำงานออกไปได้อัตโนมัติ


สำหรับความท้าทายประการสำคัญนอกเหนือจากการพัฒนาความสามารถของเครือข่ายประมวลผลดังกล่าว ยังอยู่ที่การเชื่อมต่อส่วนประกอบต่างๆ ลงบนพื้นที่ที่จำกัด ด้วยวิธีการจัดเรียงส่วนประกอบต่างๆ ซ้อนกันเป็นชั้นๆ โดยที่ด้านชิปแผงวงจรจะคว่ำหน้าลงประกบกับจุดบัดกรีเล็กๆ เรียงไปเป็นชั้นๆ


ส่วนประโยชน์ที่ได้จากการพัฒนาอีเกรนส์สามารถนำไปใช้ได้ในหลายสาขาอุตสาหกรรม เพื่อเพิ่มผลในการผลิตขณะที่ใช้ต้นทุนต่ำ ดังตัวอย่างของบริษัทอีซิส ผู้พัฒนาด้านระบบข้อมูลดิจิตอล เตรียมที่จะนำระบบเซ็นเซอร์ขนาดเล็กนี้ไปใช้กับระบบงานด้านการขนส่งและคมนาคม เพื่อติดตั้งไว้กับรถบรรทุกสินค้าที่สามารถบันทึกอุณหภูมิควบคุมอาหารที่เก็บแช่แช็งอยู่ในความเย็นที่เหมาะสมที่บรรทุกมากับเครื่อง ซึ่งข้อมูลที่บันทึกไว้จะถูกเก็บรวบรวมผ่านทางเครือข่ายที่สามารถบริหารจัดการแบบอ

ที่มา : ฐานเศรษฐกิจ
บทบาทเทคโนโลยีสารสนเทศกับการบริหารการศึกษา

ทุกท่านเห็นด้วยใช่ไหมคะ ว่าวิทยาการก้าวหน้าทางด้านเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์และการสื่อสาร เป็นปัจจัยผลักดันที่ทำให้เกิดการติดต่อสื่อสารระหว่างพลโลก อย่างไร้พรหมแดน (Globalization) อย่างรวดเร็วนำไปสู่การผสมผสานความคิด ค่านิยม ตลอดจนวิถีชีวิตความเป็นอยู่ระหว่างมวลมนุษย์ชาติ ที่เรียกว่า “กระแสโลกาภิวัฒน์” เทคโนโลยีต่างๆ ได้ถูกนำมาใช้เป็นเครื่องมือในการพัฒนาประเทศ เกิดการแข่งขันในด้านข้อมูลข่าวสาร ด้วยการนำเอาความรู้และเทคโนโลยีเป็นพื้นฐานสำคัญในการพัฒนาประเทศ เพื่อมุ่ง เป้าหมายความเป็นเศรษฐกิจและสังคมแห่งภูมิปัญญาและการเรียนรู้ (Knowledge-based Economy/Society)

ประเทศไทยในฐานะที่อยู่ร่วมในสังคมโลก ทำให้ได้รับผลกระทบจากกระแสของโลกาภิวัฒน์ที่หลั่งไหลเข้ามาอย่างรวดเร็ว จึงได้กำหนดแผนแม่บทเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร และกำหนดกลยุทธ์การพัฒนาเทคโนโลยีสารสนเทศสำคัญไว้ 5 กลุ่ม คือ เทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการพัฒนาด้านภาครัฐ (e-Government) เทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการพัฒนาด้านพาณิชย์ (e-Commerce) เทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการพัฒนาด้านอุตสาหกรรม (e-Industry) เทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการพัฒนาด้านการศึกษา (e-Education) และเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการพัฒนาด้านสังคม (e-Society)
การศึกษาในฐานะกลไกพื้นฐานของการพัฒนาคน เป็นสิ่งที่สังคมคาดหวังว่าจะเป็นเครื่องเตรียมคนและสังคมให้พร้อมรับความเปลี่ยนแปลงเพื่อการพัฒนาประเทศอย่างมีประสิทธิภาพ การจัดการศึกษาในยุคโลกาภิวัฒน์ จึงเป็นการเตรียมกำลังคนที่มีความฉลาดในการที่จะเป็นบุคลากร นักคิดและนักเลือกข่าวสารข้อมูลมาใช้ในการดำเนินชีวิต การวางแผนเพื่อพัฒนาการศึกษา จึงต้องเน้น การวางแผนในเชิงรุก โดยวิเคราะห์สถานการณ์และแนวโน้มของกระแสโลกที่ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในสังคมไทย และวิเคราะห์สถานการณ์การพัฒนาประเทศไทยโดยคำนึงถึงสภาพแวดล้อม ต่างๆที่เกี่ยวข้องกับการศึกษาเพื่อหาทิศทางการพัฒนา “ คุณภาพคนไทย” อันจะนำไปสู่การพัฒนาประเทศให้รู้ทันโลก คนมีความสุข ครอบครัวและชุมชนมีสันติสุข
การจัดการศึกษาในปัจจุบัน จึงได้นำนวัตกรรมและเทคโนโลยีทางการศึกษามาใช้เพื่อเพิ่มทางเลือกในการเรียนรู้ของผู้เรียน เพื่อพัฒนาผู้เรียนในยุคโลกาภิวัฒน์ ให้มีความรู้ความสามารถในการวิเคราะห์ สังเคราะห์ข้อมูลและข่าวสาร รูปแบบวิธีการเรียนการสอนที่เน้นความแตกต่างระหว่างบุคคล มากขึ้น กระบวนการเรียนการสอนเปลี่ยนบทบาทของครูจากการเป็นผู้ให้ ผู้ถ่ายทอด มาเป็นผู้ออกแบบการศึกษา เพื่อพัฒนาคนที่มีความแตกต่างกัน วิถีทางการเรียนรู้เริ่มเข้าสู่ยุคแห่งการใช้ “ เทคโนโลยีเข้มข้น” ในการเรียนรู้สิ่งต่างๆ หลายประเทศในภูมิภาคเอเชียรวมทั้งไทยเราเองเริ่มมีการนำนวัตกรรมใหม่ทางการเรียนการสอนเข้ามาใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการเรียนรู้ โดยเฉพาะเทคโนโลยี “ อินเทอร์เน็ต” ได้มีการเห็นความสำคัญในการพัฒนาทางด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ และเริ่มวางโครงสร้างพื้นฐาน (Infrastructure) ทางด้านการสื่อสาร และกำหนดเป้าหมายอย่างชัดเจนเพื่อให้หน่วยงานทางด้านการศึกษาโดยเฉพาะสถาบันอุดมศึกษาได้ใช้ประโยชน์จากเครือข่ายคอมพิวเตอร์ขนาดใหญ่ ที่มีข้อมูลต่อเชื่อมอยู่ทั่วทุกมุมโลก อินเทอร์เน็ตเป็นเครือข่ายคอมพิวเตอร์ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลกซึ่งประกอบด้วยเครือข่ายย่อยจำนวนมาก กระจายอยู่ทั่วทุกมุมโลก ทำให้ระบบอินเทอร์เน็ตเป็นเครือข่ายสื่อสารที่ใหญ่มากจนสามารถตอบสนองความต้องการในการค้นคว้าข้อมูลได้เป็นอย่างดี (วิทยา เรืองพรพิสุทธ์. 2538 : 2) ทำให้เกิดความต้องการในการใช้เครือข่ายอินเทอร์เน็ตเป็นแหล่งทรัพยากรเรียนรู้สำหรับผู้เรียน เช่น การจัดระบบห้องสมุด การบริหารงานของฝ่ายธุรการ การค้นคว้าข้อมูล การเรียนการสอนทางไกลโดยใช้เครือข่ายอินเทอร์เน็ต ซึ่งจะก่อให้เกิดการใช้ทรัพยากรข้อมูลข้อสนเทศต่างๆ อย่างเป็นประโยชน์สูงสุด ลดความซ้ำซ้อน เพิ่มประสิทธิภาพในการค้นหาและแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างกันด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัยและเป็นมาตรฐาน ตลอดจนเพิ่มศักยภาพของการให้บริการข้อมูลที่สะดวกและรวดเร็ว ตรงตามความต้องการของผู้ใช้ และส่งเสริมการวิจัยและพัฒนาระบบฐานข้อมูล และระบบสานสนเทศต่างๆ ซึ่งจะเป็นฐานสำคัญสำหรับการวิจัยและพัฒนาการศึกษา (Computer Time. 2538 : 18)
สำหรับประเทศไทย มีการศึกษาเกี่ยวกับระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ตในด้านการศึกษา ดังเช่น การศึกษาของ ทิพวรรณ รัตนวงศ์ (2532) ได้ศึกษาแนวโน้มหลักสูตรสถาบันอุดมศึกษาเอกชน ในปี พ.ศ.2545 พบว่าการอุดมศึกษาในอนาคตเทคโนโลยีทางการศึกษาจะเข้ามามีบทบาทมากขึ้น การเรียนการสอนไม่จำกัดอยู่เฉพาะในห้องเรียนและภายในสถาบันการศึกษาอีกต่อไป และเรวดี คงสุภาพกุล (2538) ได้ศึกษาการใช้ระบบอินเทอร์เน็ตของนิสิตนักศึกษาในเขตกรุงเทพมหานคร พบว่า สาขาวิชาที่ศึกษามีความสัมพันธ์กับความบ่อยในการใช้ นิสิต นักศึกษาสาขาสังคมศาสตร์และมนุษย์ศาสตร์ใช้ระบบมากกว่านิสิตนักศึกษาสาขาวิทยาศาสตร์ และเป็นการใช้ตามสาขาวิชาที่ศึกษา คือ นิสิตนักศึกษาสาขาสังคมศาสตร์ และมนุษย์ศาสตร์มีความสัมพันธ์ด้วยกัน จึงใช้ระบบในการคุยกับเพื่อน ในขณะที่นิสิตนักศึกษาสาขาสังคมศาสตร์ และมนุษยศาสตร์มีความสัมพันธ์กับเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน จึงใช้ระบบในการคุยกับเพื่อน ในขณะที่นิสิตนักศึกษาสาขาวิทยาศาสตร์ จะใช้ในงานบริการค้นคว้างานวิจัยค้นคว้าข้อมูลวิชาการ นิสิตนักศึกษามองเป็นอุปสรรคในการใช้ระบบ คือตัวปัญหาของระบบ เนื่องจากระบบมีการใช้งานในความเร็วต่ำ เมื่อมีการใช้พร้อมๆ กันก็จะเกิดการติดขัดต้องมีระบบช่วยแก้ปัญหา
ในปัจจุบันได้มีความพยายามจัดสภาพแวดล้อมทางระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ตเพื่อการเรียนการสอนที่เรียกว่า “อีเลิร์นนิ่ง” (e-learning) ซึ่งเป็นการเรียนเนื้อหาหรือสารสนเทศสำหรับการสอนหรือการอบรม ซึ่งใช้นำเสนอด้วยตัวอักษร ภาพนิ่ง ผสมผสานกับการใช้ภาพเคลื่อนไหว วีดิทัศน์และเสียง โดยอาศัยเทคโนโลยีของเว็บ (Web Technology) ในการถ่ายทอดเนื้อหา รวมทั้งการใช้เทคโนโลยีระบบการจัดการคอร์ส (Course Management System) ในการบริหารจัดการงานสอนด้านต่าง ๆ มีการจัดให้มีเครื่องมือการสื่อสารต่าง ๆ เช่น e-mail, Webboard สำหรับตั้งคำถาม หรือแลกเปลี่ยนแนวคิดระหว่างผู้เรียนด้วยกัน หรือกับวิทยากร การจัดให้มีแบบทดสอบ หลังจากเรียนจบ เพื่อวัดผลการเรียน รวมทั้งการจัดให้มีระบบบันทึก ติดตาม ตรวจสอบ และประเมินผลการเรียน โดยผู้เรียนส่วนใหญ่แล้วจะศึกษาเนื้อหาในลักษณะออนไลน์ ซึ่งหมายถึงจากเครื่องที่มีการเชื่อมต่อกับระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์
รูปแบบการพัฒนาการจัดการเรียนการสอนอีเลิร์นนิ่งในประเทศไทย พบว่าแต่ละหน่วยงานได้พัฒนาระบบ จัดการผู้เรียน (LMS : Learining Management System) ระบบจัดการเนื้อหา (CMS : Content Management System) ของตนเอง เป็นส่วนใหญ่ ซึ่งแต่ละหน่วยงานก็ใช้ โปรแกรมเว็บ (Web Programming) แตกต่างกันออกไปทั้ง PHP, ASP, Flash Action Script, JavaScript ทั้งนี้อาจจะจัดตั้งหน่วยงานรับผิดชอบโดยตรง หรืออาจจะพัฒนาโดยบุคคลหรือกลุ่มบุคคลเป็นการส่วนตัวก็ได้ เนื่องจากปัญหาส่วนใหญ่จะมาจากการขาดงบประมาณและการสนับสนุนที่เป็นรูปธรรมจากผู้บริหาร นอกจากนี้มีบริษัทภายในประเทศไทยที่พัฒนาซอฟต์แวร์บริหารจัดการการเรียนชื่อ Education Sphere (http://www.educationsphere.com/) คือบริษัท Sum System จำกัด ที่พัฒนา LMS Software ออกมาให้จำหน่ายและพัฒนาให้กับมหาวิทยาลัยรามคำแหง เป็นหน่วยงานแรก รวมทั้งศูนย์การศึกษาต่อเนื่องแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ก็พัฒนาโปรแกรมจัดการหลักสูตรเนื้อหาวิชา และการจัดการเรียนการสอนชนิด การเรียนผ่านเว็บ (Web-base Instruction) โดยตั้งชื่อโปรแกรมว่า Chula E-Learning System (Chula ELS) ออกมาให้บริการ
ความพยายามในการเปิดหลักสูตรการเรียนการสอนแบบอิเล็กทรอนิกส์ (e-Learning) ผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ตมาจากแนวคิดของ แฮนแสน ซิลเวอร์ และสตรอง (Hansen, Silver and Strong) ได้แบ่งรูปแบบการเรียน (Learning Styles) ของผู้เรียนโดยทั่วไปออกเป็น 4 ประเภท คือประเภทที่ชอบการเรียนการตรง (Directive) ประเภทที่ชอบการเรียนแบบค้นคว้าด้วยตนเอง (Inquiry) ประเภทที่ ชอบการเรียนแบบสร้างสรรค์ (Creative) และประเภทที่ชอบการเรียนแบบร่วมมือกันทำกิจกรรมเป็นกลุ่ม (Cooperative) ผู้เรียนทุกคนจะมีรูปแบบการเรียนรู้ทั้ง 4 แบบอยู่ในตัวเอง แต่จะมีลักษณะเด่นในรูปแบบหนึ่งเป็นพิเศษมากกว่ารูปแบบอื่น ดังนั้นแม้ว่าจะต้องเรียนในรูปแบบที่ผู้เรียนไม่ชอบหรือไม่ถนัดก็ยังสามารถเรียนรู้ได้ แต่จะเรียนไม่ได้ดีเท่ากับการเรียนในรูปแบบที่ผู้เรียนชอบหรือถนัด ซิลเวอร์ยังได้ชี้ให้เห็นว่าการกำหนดให้นักศึกษาเรียนในรูปแบบที่เหมาะกับธรรมชาติของนักศึกษา จะเหมือนกับการบังคับให้นักศึกษาเรียนในรูปแบบที่ไม่เหมาะกับธรรมชาติของนักศึกษา จะเหมือนกับการบังคับให้นักศึกษาเขียนหนังสือด้วยมือข้างที่ไม่ถนัด นั่นเอง ซึ่งส่งผลให้มีนักศึกษาจำนวนมากที่ถูกจัดให้เป็นคนอ่อนนั้น เป็นเพราะว่านักศึกษาเหล่านี้ต้องเรียนรู้ในรูปแบบหรือวิธีการที่ไม่เหมาะสมกับพวกเขานั้นเอง (Perrin. 1994 : 140)

สำหรับประเทศไทยแม้ว่าจะยังไม่มีการเปิดการสอนแบบอิเล็กทรอนิกส์ (e-Learning) เต็มหลักสูตร แต่ก็ได้เริ่มนำแนวคิดดังกล่าวมาจัดการเรียนการสอนแล้ว เช่น มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี ได้กำหนดเป็นนโยบายในระบบการศึกษาไร้พรมแดน แผน มทส. (วิจิตร ศรีสอ้าน. 2541) ซึ่งขณะนี้กำลังอยู่ในระหว่างดำเนินโดยเริ่มสอนผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ต แต่ยังไม่ได้ดำเนินการสอนแบบเต็มหลักสูตร ส่วนมหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราชก็ได้จัดทำโครงการศึกษาทางไกลผ่านวิทยาเขตเสมือนจริง (Virtual University) โดยมีเป้าหมายที่จะทดลองใช้กับนักศึกษาปริญญาโทบางหลักสูตรในปีการศึกษา 2543 และจะขยายใช้กับนักศึกษาปริญญาโททั้งหมด ในระยะต่อไป รวมทั้งการเปิดสอนระดับปริญญาตรีบางหลักสูตรด้วย (มหาวิทยาสุโขทัยธรรมธิราช. 2541) แต่อย่างไรก็ตามการดำเนินการของทั้ง 2 มหาวิทยาลัยนี้เป็นการสอนผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ตบางรายวิชาเท่านั้น มิได้ดำเนินการจัดการเรียนการสอนผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ตเต็มหลักสูตร

การเปิดหลักสูตรการเรียนการสอนอิเล็กทรอนิกส์ (e-Learning) จะสามารถช่วยบรรเทาปัญหาต่างๆ ของการศึกษาในระดับอุดมศึกษา เช่น ปัญหาด้านสถานที่เรียนในมหาวิทยาลัยไม่เพียงพอความต้องการของผู้สมัครเรียน ทำให้ต้องจำกัดจำนวน ในการรับเข้าเรียน แต่การเรียนในห้องเรียนเสมือนจริง นักศึกษาไม่ต้องใช้สถานที่เรียนในมหาวิทยาลัย แต่เรียนจากที่บ้านหรือที่ทำงานจึงสามารถรับนักศึกษาได้เป็นจำนวนมาก และรับได้กระจายทั่วไปจึงช่วยลดปัญหาด้านการกระจุกตัวของมหาวิทยาลัยต่างๆ ซึ่งรวมกันอยู่ในเมืองใหญ่ในตัวเมือง ทำให้นักศึกษาที่อยู่ในชนบทไม่สะดวกในการเดินทางไปเรียนที่มหาวิทยาลัยและสิ้นเปลืองค่าใช้จ่ายมาก แต่นักศึกษาที่เรียนผ่านระบบการการเรียนการสอนอิเล็กทรอนิกส์ (e-Learning) ไม่ต้องเดินทางไปรวมกันที่มหาวิทยาลัย จึงบรรเทาปัญหาการเดินทางไปได้มาก และยังแก้ปัญหาข้อจำกัดด้านเวลาที่มหาวิทยาลัยปกติจะต้องเรียนในเวลาเดียวกันตามที่กำหนด ไม่สามารถสับเปลี่ยนหรือเลื่อนได้ แต่ในการเรียนการสอนอิเล็กทรอนิกส์ (e-Learning) ผู้เรียนสามารถเลือกเรียนในเวลาที่สะดวกได้ซึ่งมีความยืดหยุ่นทางด้านเวลาสูง นอกจากนั้นการมีโอกาสได้ใช้ระบบเทคโนโลยีสารสนเทศตั้งแต่ยังเป็นนักศึกษา จะช่วยให้เกิดความรู้ความเข้าใจในระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ และมีความชำนาญในการใช้เทคโนโลยี เมื่อออกไปทำงานจะสามารถทำงานได้ทันที ด้วยเหตุผลและความจำเป็นดังกล่าว นักการศึกษาจึงมีความพยายามที่จะจัดระบบการเรียนการสอนอิเล็กทรอนิกส์ (e-Learning) ที่เหมาะสมกับการศึกษายุคปัจจุบัน


วัฒนา ตั้งพินิจกุล
วิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีนครศรีธรรมราช

หมวดหมู่: การศึกษา การเรียนการสอน
คำสำคัญ: นวัตกรรมสารสนเทศ
สัญญาอนุญาต: ซีซี: แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกัน
สร้าง: ศ. 17 เม.ย. 2552 @ 14:46 แก้ไข: ศ. 17 เม.ย. 2552 @ 14:46

ความหมายของนวัตกรรม


“นวัตกรรม” หมายถึงความคิด การปฏิบัติ หรือสิ่งประดิษฐ์ใหม่ ๆ ที่ยังไม่เคยมีใช้มาก่อน หรือเป็นการพัฒนาดัดแปลงมาจากของเดิมที่มีอยู่แล้ว ให้ทันสมัยและใช้ได้ผลดียิ่งขึ้น เมื่อนำ นวัตกรรมมาใช้จะช่วยให้การทำงานนั้นได้ผลดีมีประสิทธิภาพและประสิทธิผลสูงกว่าเดิม ทั้งยังช่วย ประหยัดเวลาและแรงงานได้ด้วย

“นวัตกรรม” (Innovation) มีรากศัพท์มาจาก innovare ในภาษาลาติน แปลว่า ทำสิ่งใหม่ขึ้นมา ความหมายของนวัตกรรมในเชิงเศรษฐศาสตร์คือ การนำแนวความคิดใหม่หรือการใช้ประโยชน์จากสิ่งที่มีอยู่แล้วมาใช้ในรูปแบบใหม่ เพื่อทำให้เกิดประโยชน์ทางเศรษฐกิจ หรือก็คือ ”การทำในสิ่งที่แตกต่างจากคนอื่น โดยอาศัยการเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ (Change) ที่เกิดขึ้นรอบตัวเราให้กลายมาเป็นโอกาส (Opportunity) และถ่ายทอดไปสู่แนวความคิดใหม่ที่ทำให้เกิดประโยชน์ต่อตนเองและสังคม” แนวความคิดนี้ได้ถูกพัฒนาขึ้นมาในช่วงต้นศตวรรษที่ 20 โดยจะเห็นได้จากแนวคิดของนักเศรษฐอุตสาหกรรม เช่น ผลงานของ Joseph Schumpeter ใน The Theory of Economic Development,1934 โดยจะเน้นไปที่การสร้างสรรค์ การวิจัยและพัฒนาทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี อันจะนำไปสู่การได้มาซึ่ง นวัตกรรมทางเทคโนโลยี (Technological Innovation) เพื่อประโยชน์ในเชิงพาณิชย์เป็นหลัก นวัตกรรมยังหมายถึงความสามารถในการเรียนรู้และนำไปปฎิบัติให้เกิดผลได้จริงอีกด้วย (พันธุ์อาจ ชัยรัตน์ , Xaap.com)

คำว่า “นวัตกรรม” เป็นคำที่ค่อนข้างจะใหม่ในวงการศึกษาของไทย คำนี้ เป็นศัพท์บัญญัติของคณะกรรมการพิจารณาศัพท์วิชาการศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ มาจากภาษาอังกฤษว่า Innovation มาจากคำกริยาว่า innovate แปลว่า ทำใหม่ เปลี่ยนแปลงให้เกิดสิ่งใหม่ ในภาษาไทยเดิมใช้คำว่า “นวกรรม” ต่อมาพบว่าคำนี้มีความหมายคลาดเคลื่อน จึงเปลี่ยนมาใช้คำว่า นวัตกรรม (อ่านว่า นะ วัด ตะ กำ) หมายถึงการนำสิ่งใหม่ๆ เข้ามาเปลี่ยนแปลงเพิ่มเติมจากวิธีการที่ทำอยู่เดิม เพื่อให้ใช้ได้ผลดียิ่งขึ้น ดังนั้นไม่ว่าวงการหรือกิจการใด ๆ ก็ตาม เมื่อมีการนำเอาความเปลี่ยนแปลงใหม่ๆ เข้ามาใช้เพื่อปรับปรุงงานให้ดีขึ้นกว่าเดิมก็เรียกได้ว่าเป็นนวัตกรรม ของวงการนั้น ๆ เช่นในวงการศึกษานำเอามาใช้ ก็เรียกว่า “นวัตกรรมการศึกษา” (Educational Innovation) สำหรับผู้ที่กระทำ หรือนำความเปลี่ยนแปลงใหม่ ๆ มาใช้นี้ เรียกว่าเป็น “นวัตกร” (Innovator) (boonpan edt01.htm)

ทอมัส ฮิวช์ (Thomas Hughes) ได้ให้ความหมายของ “นวัตกรรม” ว่า เป็นการนำวิธีการใหม่ ๆ มาปฏิบัติหลังจากได้ผ่านการทดลองหรือได้รับการพัฒนามาเป็นขั้น ๆ แล้ว เริ่มตั้งแต่การคิดค้น (Invention) การพัฒนา (Development) ซึ่งอาจจะเป็นไปในรูปของ โครงการทดลองปฏิบัติก่อน (Pilot Project) แล้วจึงนำไปปฏิบัติจริง ซึ่งมีความแตกต่างไปจากการปฏิบัติเดิมที่เคยปฏิบัติมา (boonpan edt01.htm)

มอร์ตัน (Morton,J.A.) ให้ความหมาย “นวัตกรรม” ว่าเป็นการทำให้ใหม่ขึ้นอีกครั้ง(Renewal) ซึ่งหมายถึง การปรับปรุงสิ่งเก่าและพัฒนาศักยภาพของบุคลากร ตลอดจนหน่วยงาน หรือองค์การนั้น ๆ นวัตกรรม ไม่ใช่การขจัดหรือล้มล้างสิ่งเก่าให้หมดไป แต่เป็นการ ปรับปรุงเสริมแต่งและพัฒนา (boonpan edt01.htm)

ไชยยศ เรืองสุวรรณ (2521 : 14) ได้ให้ความหมาย “นวัตกรรม” ไว้ว่าหมายถึง วิธีการปฎิบัติใหม่ๆ ที่แปลกไปจากเดิมโดยอาจจะได้มาจากการคิดค้นพบวิธีการใหม่ๆ ขึ้นมาหรือมีการปรับปรุงของเก่าให้เหมาะสมและสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ได้รับการทดลอง พัฒนาจนเป็นที่เชื่อถือได้แล้วว่าได้ผลดีในทางปฎิบัติ ทำให้ระบบก้าวไปสู่จุดหมายปลายทางได้อย่างมีประสิทธิภาพขึ้น

จรูญ วงศ์สายัณห์ (2520 : 37) ได้กล่าวถึงความหมายของ “นวัตกรรม” ไว้ว่า “แม้ในภาษาอังกฤษเอง ความหมายก็ต่างกันเป็น 2 ระดับ โดยทั่วไป นวัตกรรม หมายถึง ความพยายามใด ๆ จะเป็นผลสำเร็จหรือไม่ มากน้อยเพียงใดก็ตามที่เป็นไปเพื่อจะนำสิ่งใหม่ ๆ เข้ามาเปลี่ยนแปลงวิธีการที่ทำอยู่เดิมแล้ว กับอีกระดับหนึ่งซึ่งวงการวิทยาศาสตร์แห่งพฤติกรรม ได้พยายามศึกษาถึงที่มา ลักษณะ กรรมวิธี และผลกระทบที่มีอยู่ต่อกลุ่มคนที่เกี่ยวข้อง คำว่า นวัตกรรม มักจะหมายถึง สิ่งที่ได้นำความเปลี่ยนแปลงใหม่เข้ามาใช้ได้ผลสำเร็จและแผ่กว้างออกไป จนกลายเป็นการปฏิบัติอย่างธรรมดาสามัญ (บุญเกื้อ ควรหาเวช , 2543)

นวัตกรรม แบ่งออกเป็น 3 ระยะ คือ
ระยะที่ 1 มีการประดิษฐ์คิดค้น (Innovation) หรือเป็นการปรุงแต่งของเก่าให้เหมาะสมกับกาลสมัย
ระยะที่ 2 พัฒนาการ (Development) มีการทดลองในแหล่งทดลองจัดทำอยู่ในลักษณะของโครงการทดลองปฏิบัติก่อน (Pilot Project)
ระยะที่ 3 การนำเอาไปปฏิบัติในสถานการณ์ทั่วไป ซึ่งจัดว่าเป็นนวัตกรรมขั้นสมบูรณ์

i ความหมายของนวัตกรรมการศึกษา

"นวัตกรรมการศึกษา (Educational Innovation )" หมายถึง นวัตกรรมที่จะช่วยให้การศึกษา และการเรียนการสอนมีประสิทธิภาพดียิ่งขึ้น ผู้เรียนสามารถเกิดการเรียนรู้อย่างรวดเร็วมีประสิทธิผลสูงกว่าเดิม เกิดแรงจูงใจในการเรียนด้วยนวัตกรรมการศึกษา และประหยัดเวลาในการเรียนได้อีกด้วย ในปัจจุบันมีการใช้นวัตกรรมการศึกษามากมายหลายอย่าง ซึ่งมีทั้งนวัตกรรมที่ใช้กันอย่างแพร่หลายแล้ว และประเภทที่กำลังเผยแพร่ เช่น การเรียนการสอนที่ใช้คอมพิวเตอร์ช่วยสอน (Computer Aids Instruction) การใช้แผ่นวิดีทัศน์เชิงโต้ตอบ (Interactive Video) สื่อหลายมิติ ( Hypermedia ) และอินเทอร์เน็ต [Internet] เหล่านี้ เป็นต้น (วารสารออนไลน์ บรรณปัญญา.htm)

“นวัตกรรมทางการศึกษา” (Educational Innovation) หมายถึง การนำเอาสิ่งใหม่ซึ่งอาจจะอยู่ในรูปของความคิดหรือการกระทำ รวมทั้งสิ่งประดิษฐ์ก็ตามเข้ามาใช้ในระบบการศึกษา เพื่อมุ่งหวังที่จะเปลี่ยนแปลงสิ่งที่มีอยู่เดิมให้ระบบการจัดการศึกษามีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ทำให้ผู้เรียนสามารถเกิดการเรียนรู้ได้อย่างรวดเร็วเกิดแรงจูงใจในการเรียน และช่วยให้ประหยัดเวลาในการเรียน เช่น การสอนโดยใช้คอมพิวเตอร์ช่วยสอน การใช้วีดิทัศน์เชิงโต้ตอบ(Interactive Video) สื่อหลายมิติ (Hypermedia) และอินเตอร์เน็ต เหล่านี้เป็นต้น

ที่มา : http://school.obec.go.th/sup_br3/t_1.htm

Innovation is a new way of doing something or "new stuff that is made useful"[1]. It may refer to incremental and emergent or radical and revolutionary changes in thinking, products, processes, or organizations. Following Schumpeter (1934), contributors to the scholarly literature on innovation typically distinguish between invention, an idea made manifest, and innovation, ideas applied successfully in practice. In many fields, something new must be substantially different to be innovative, not an insignificant change, e.g., in the arts, economics, business and government policy. In economics the change must increase value, customer value, or producer value. The goal of innovation is positive change, to make someone or something better. Innovation leading to increased productivity is the fundamental source of increasing wealth in an economy. Innovation is the most important thing for the human survival.

Innovation is an important topic in the study of economics, business, design, technology, sociology, and engineering. Colloquially, the word "innovation" is often synonymous with the output of the process. However, economists tend to focus on the process itself, from the origination of an idea to its transformation into something useful, to its implementation; and on the system within which the process of innovation unfolds. Since innovation is also considered a major driver of the economy, especially when it leads to increasing productivity, the factors that lead to innovation are also considered to be critical to policy makers. In particular, followers of innovation economics stress using public policy to spur innovation and growth.

Those who are directly responsible for application of the innovation are often called pioneers in their field, whether they are individuals or organisations.

แหล่งที่มา http://en.wikipedia.org/wiki/Innovation